มูลนิธิพลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม มพส

ข่าวสารและกิจกรรม

ข่าวทั่วไป

บทความ

บทความ


การจับตาพลังงานหมุนเวียนของไทยในปี 2555
โดย คุณสุวพร ศิริคุณ ผู้อำนวยการบริหาร มูลนิธิพลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม

            กระทรวงพลังงานได้ปรับแผนการพัฒนาพลังงานทดแทน เพิ่มสัดส่วนการใช้เป็น 25% ภายใน 10 ปี (พ.ศ.2555-2564) ซึ่งแผนเป็นเพียงเป้าหมาย แต่การผลักดันการปฏิบัติสู่ความจริงต่างหากคือสิ่งสำคัญ การดำเนินการจะเกิดขึ้นได้ตามแผนหรือไม่นั้น สามารถประเมินได้ตั้งแต่วันนี้จากผลการดำเนินการที่ผ่านมาและสิ่งที่กระทรวงพลังงานจะดำเนินการในปี 2555
            จากข้อมูลของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานสิ้นปี 2554 มีไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเข้าสู่ระบบ 927 เมกะวัตต์ โดยต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ถึง 71% มีเพียงไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์และก๊าซชีวภาพที่เข้าเป้า แต่หากจะมองไปไกลถึงโครงการที่อยู่ระหว่างยื่นขอใบอนุญาตซื้อขายไฟฟ้าจะพบว่ามีโครงการรอลงนาม รอพิจารณา และรอตอบรับสูงถึง 7,299 เมกะวัตต์ โดยเป็นพลังงานแสงอาทิตย์สูงถึง 3,532 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นที่มาที่กระทรวงพลังงานให้ข่าวว่าปริมาณไฟฟ้าในส่วนนี้จะกระทบค่าไฟฟ้าสูงถึง 15 สตางค์ต่อหน่วย จึงให้ชะลอการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และลดส่วนเพิ่มรับซื้อไฟฟ้าหรือ Adder
 

            จากการดำเนินการดังกล่าวทำให้เกิดการหาประโยชน์การซื้อขายใบอนุญาตขายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และแม้ว่าจะมีการจัดตั้งคณะกรรมการบริหารมาตรการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนตั้งแต่ปี 2533 ซึ่งมีปลัดกระทรวงพลังงานเป็นประธาน และสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานเป็นฝ่ายเลขานุการ ปัญหานี้ก็ไม่ได้รับการแก้ไข ในขณะที่คณะกรรมการชุดนี้ได้ทำหน้าที่เป็นผู้พิจารณาให้ใบอนุญาตซื้อขายไฟฟ้าเป็นหลัก ทั้งที่ไม่ใช่อำนาจหน้าที่ตามการแต่งตั้ง ความล่าช้าของการกลั่นกรองโครงการกว่า 7,000 เมกะวัตต์ ปริมาณไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่เข้าสู่ระบบต่ำกว่าเป้าหมาย รวมถึงการปล่อยให้เกิดการหาประโยชน์การซื้อขายใบอนุญาต และความไม่โปร่งใสด้านการพิจารณา กระทรวงพลังงานควรตรวจสอบและปรับปรุงการทำงานของคณะกรรมการชุดนี้ เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นการสนับสนุนการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนอย่างแท้จริง

            กระทรวงพลังงานมีแผนจะเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ให้ทบทวนการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเป็นรูปแบบ Feed-in tariff ซึ่งเป็นการให้ส่วนเพิ่มการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเช่นเดียวกับระบบ adder เพียงแต่ส่วนเพิ่มค่าไฟจะถูกใส่ในส่วนของค่าไฟฐาน ในขณะที่ระบบ adder จะเพิ่มในส่วนของค่า FTซึ่งการปรับเปลี่ยนนโยบายไม่ใช่ปัญหา แต่หากกระทรวงพลังงานจะเสนอให้ยกเลิกการพิจารณาคำร้องขอเสนอขายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนทุกประเภทในระบบ Adder นับตั้งแต่วันที่ กพช.มีมติ สิ่งนี้สร้างปัญหาอย่างแน่นอน

            ในขณะนี้มีนักลงทุนส่วนหนึ่งที่ได้ลงทุนพัฒนาโครงการไปแล้ว อยู่ระหว่างเตรียมยื่นขอขายไฟฟ้าเข้าระบบ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นแล้วหลายล้านบาท จากการดำเนินการทำความเข้าใจกับชุมชน การทำประชาพิจารณ์ การประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยตามข้อกำหนดการขออนุญาต รวมถึงการทำรายงานความเป็นไปได้ของโครงการภายใต้สมมุติฐาน Adder เสนอในการหาผู้ร่วมทุน และการขอสินเชื่อจากธนาคาร การหยุดนโยบายโดยฉับพลัน ย่อมไม่เป็นธรรมกับนักลงทุนเหล่านี้ และจะทำให้เกิดการซื้อขายใบอนุญาตขายไฟฟ้าของพลังงานหมุนเวียนอื่นเช่นเดียวกับพลังงานแสงอาทิตย์ รัฐบาลควรประกาศระยะเวลาสิ้นสุดที่แน่นอนให้นักลงทุนทราบล่วงหน้า นอกจากนั้นการเสนอนโยบายและมาตรการใหม่ ควรจัดรับฟังความเห็นจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ นักลงทุน สถาบันการเงิน ผู้ผลิตเทคโนโลยี ผู้บริโภค และภาคประชาชน เพื่อให้การกำหนดมาตรการเป็นไปอย่างเหมาะสมและปฏิบัติได้จริง

            การยกเลิกการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในระบบ Adder โดยที่ยังไม่มีระบบ Feed-in tariff รองรับ จะทำให้เกิดสูญญากาศของการพัฒนาพลังงานหมุนเวียน ซึ่งการจัดทำรายละเอียดมาตรการ Feed-in tariff ยังต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง และการนำส่วนเพิ่มค่าไฟของพลังงานหมุนเวียนประเภทต่างๆ ไปไว้ในค่าไฟฐานนั้น โดยปกติการปรับเปลี่ยนค่าไฟฐานไม่กระทำได้ง่าย โดยจะทำทุก 4-5 ปี ซึ่งต้องประเมินต้นทุนต่างๆ ของการไฟฟ้าทั้งหมด และมีประเด็นที่น่าคิด คือ หากนำต้นทุนไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนไปไว้ในค่าไฟฐานแล้ว หากไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเข้าระบบช้ากว่ากำหนด ผู้บริโภคจะจ่ายค่าไฟไปแล้วโดยไม่มีไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเข้ามา

            นอกจากมาตรการ Feed-in tariff ที่กระทรวงพลังงานจะเสนอ ข่าวหนาหูที่ได้ยิน คือ การส่งเสริมการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ชุมชน 1 ตำบล 1 เมกะวัตต์ โดยคาดว่าจะส่งเสริมในระดับ 1,000 เมกะวัตต์ ซึ่งหวังว่าการส่งเสริมนี้จะไม่ยกเลิกการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนอื่น เช่น ชีวมวล หรือ ก๊าซชีวภาพ ซึ่งมีต้นทุนการผลิตและราคารับซื้อไฟฟ้าที่ต่ำกว่าพลังงานแสงอาทิตย์มาก

            การจัดสรรแบ่งปันผลประโยชน์ภายใต้ระบบประมูลคงเกิดขึ้นแน่นอน ก็คงต้องปล่อยให้เวรกรรมจัดการเอง แต่สิ่งที่อยากขอให้กระทรวงพลังงานให้ความสำคัญ คือ ความยั่งยืนของโครงการ เทศบาล ตำบล ชุมชน ไม่มีประสบการณ์ด้านเทคนิค ดังนั้น การประมูลขอให้กำหนดเงื่อนไขหรือคุณสมบัติขั้นต่ำที่ไม่ทำให้เกิดการหลอกเอาของถูกไปขาย และการทิ้งโครงการไว้กับอุปกรณ์ที่ไม่มีคุณภาพ กลายเป็นซากที่ตำบลและชุมชนดูแลไม่เป็น เช่นเดียวกับโครงการโซล่าโฮมที่เกิดมาแล้ว และคงต้องขอฝากให้มีระบบประมูลที่โปร่งใสและเป็นธรรม ในขณะนี้เริ่มได้ยินข่าวคนการเมืองที่ถามราคาแผงจากตัวแทนจำหน่ายบ้างแล้ว
ท้ายสุดคงต้องฝากความหวังไว้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในการที่ท่านจะแก้ไขปัญหาอุปสรรคและปรับปรุงมาตรการส่งเสริมการพัฒนาพลังงานหมุนเวียน เพื่อให้พลังงานหมุนเวียนเกิดขึ้นได้จริงและป้องกันปัญหาการฟ้องร้องไม่ให้เกิดขึ้นจากการที่นักลงทุนไม่ได้รับความเป็นธรรม



 

 

                                                                                   
                                                            
Copyright © 2011 Energy For Environment Foundation. All right reserved.
812/66 ซอยประชาชื่น 26 ถนนประชาชื่น แขวงวงศ์สว่าง เขตบางซื่อ กรุงเทพฯ 10800
โทรศัพท์ +66 2115 5895  E-mail : jutamas.efe@gmail.com